เสียงเรียกปริศนา


ในวัยเด็กของใครหลายคนคงเคยผ่านเรื่องราวของเสียงเรียกปริศนานี้มาบ้างแล้ว คนโบราณได้สอนกำชับบุตรหลานให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือเวลากลางคืน พวกเขาต้องมีระเบียบวินัยในการใช้ชีวิตและการเชื่อฟังคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่นั้นถือเป็นเรื่องสำคัญส่วนหนึ่งของชาวชนบทที่ไฟฟ้าและน้ำปะปายังเข้าไปไม่ถึง เนื่องจากอาณาบริเวณหมู่บ้านนั้นเต็มไปด้วยป่าและห้วยหนอง คลองบึง อีกทั้งบ้านที่อยู่อาศัยของสมาชิกในหมู่บ้านนั้นปลูกไว้ห่างๆกันพอสมควร ไม่ปลูกบ้านชิดติดกันเป็นห้องแถวเหมือนในสมัยนี้ และอุปกรณ์ให้แสงสว่างในสมัยก่อนก็คือ คบเพลิง ตะเกียงพายุ เทียนไข และตะเกียงน้ำมันก๊าซ เพราะไม่ได้มีไฟฟ้าสว่างใช้เหมือนในปัจจุบัน คุณลองนึกถึงบรรยากาศยามโพล้เพล้ใกล้พลบค่ำในชนบทที่มีเสียงจั๊กจั่นและเสียงสิงห์สาราสัตว์น้อยใหญ่ขับขานอยู่แว่วๆดูเถิด ว่าบรรยากาศหมู่บ้านมันจะวังเวงขนาดไหน เพราะชีวิตชาวบ้านธรรมดาทั่วไปต้องเดินทาง ทำมาหากิน และใช้ชีวิตร่วมอยู่กับมิติลับแล หรือมิติลี้ลับตามความเชื่อและความรู้สึกของผู้คนในบรรยากาศเช่นนั้น ย่อมต้องมีคำเตือนและเทคนิคความปลอดภัยถ่ายทอดให้กันเสมอ 

  การเรียกชื่อของคนทั่วไปนั้นจะเรียกหลายครั้ง หรือเรียกในสถานการณ์ที่ปกติทั่วไป แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าสำหรับบางครั้ง บางเวลา ว่าเสียงเรียกชื่อนั้นมาจากคนที่รู้จักเรา หรือสิ่งอื่นๆนอกเหนือที่เรารู้จัก
  ผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์จะสอนลูกหลานว่า อย่าตอบรับเสียงเรียกชื่อที่แปลกๆ กล่าวคือ ทุกคนในหมู่บ้านจะมีชื่อเรียกขานที่เป็นที่รู้จักกันเกือบทุกคน แต่ในบางเวลานั้นอาจไม่ใช่เสียงมนุษย์ทั่วไปก็เป็นได้ คนโบราณจะสั่งห้ามไว้ว่า ถ้าได้ยินเสียงเรียดชื่อเราดังมาแว่วๆหรือดังชัดเจนเพียงครั้งเดียว ห้ามขานตอบรับอย่างเด็ดขาด เพราะหาไม่แล้วจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับเจ้าของชื่อนั้น ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาที่เรากำลังทำงานบางอย่างอยู่อย่างใจจดใจจ่อและลืมตั้งสติไปชั่วขณะ หรือกำลังเดินทางไปไหนมาไหนเพียงลำพัง 

  หลายคนได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเองดังขึ้นมาห่างๆ โดยที่มองหาแล้วก็ไม่เจอเจ้าของเสียงเรียกนั้นหรือบางคนไม่ทันได้มองหาก็เคยเกิดขึ้น ช่วงเวลาที่ห้ามตอบรับเสียงเรียกนั้นส่วนใหญ่จะเป็นช่วงเวลาใกล้ค่ำ ช่วงเที่ยงตรง และช่วงเวลาใกล้สว่าง หากมีเสียงเรียกชื่อเพียงครั้งเดียวถือว่าไม่ใช่เสียงมนุษย์ทั่วไป แต่เป็นเสียงภูตผีปีศาจที่หลอกหลอนมานุษย์ เพื่อให้หลงทาง เพราะเคยมีบางคนหายตัวไปอย่างลึกลับ จนชาวบ้านออกตามหา เป็นเหมือนอาการหลงป่า และถูกผีนำไปในที่เปลี่ยว หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าผีพา ดังนั้น ห้ามตอบรับและให้ทำเป็นไม่สนใจไปเลยจะดีที่สุด แต่ถ้าหากว่าเรียกหลายครั้งแสดงว่าเป็นมนุษย์ชนคนอื่นที่เรารู้จักมักคุ้นอย่างแน่นอน กล่าวกันว่าหากได้ยินเสียงเรียกสามครั้งขึ้นไปแล้วละก็ให้รีบตอบทันที เพราะอาจเป็นเสียงเมีย หรือเสียงสามี หาไม่แล้วจะมีบางอย่างปลิวใส่ก็เป็นได้ หรือถ้าชักช้าอาจช่วยเหลือเพื่อนฝูงไม่ทันตามสถานการณ์ ที่อาจมีคนต้องการความช่วยเหลืออยู่ในขณะนั้น เช่น จะช่วยยกของ หรือกล่าวทักทายกันโดยทั่วไปประสาคนมีชื่อเสียงของหมู่บ้าน สรุปแล้วคว่มเชื่อเรื่องเรียกหนึ่งครั้งห้ามตอบนี้ยังเป็นปริศนาอยู่จนถึงทุกวันนี้ นี่คือเกร็ดเล็กๆน้อยๆของการดำรงชีวิตของคนชนบทสมัยก่อน ในระยะเวลากว่าสามสิบปีที่ผ่านมาจึงพอนำมาเล่าสู่กันฟังได้เพื่อย้อนรำลึงถึงคนเฒ่าคนแก่ที่เรามีความพันธ์ใกล้ชิดสมัยวัยเด็ก
 
ขับเคลื่อนโดย Blogger.